เสาร์. พ.ค. 4th, 2024

BMW จัดงาน The Future of Mobility

บีเอ็มดับเบิลยู ต่อยอดวิสัยทัศน์นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ตอบรับกระแสโลกในการเข้าสู่ยุคของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จัดงานเสวนา “The Future of Mobility” ระดมนักคิดและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์มาร่วมพูดคุยถึงทิศทางของระบบคาร์แชร์ริ่ง (Car Sharing) ในประเทศไทย

มร. คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปี 2561 บีเอ็มกับเบิลยู สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตปีต่อปีของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่ 20% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในเครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลกถึงสองปีซ้อน สะท้อนการเป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ยืนยันถึงความสำเร็จของเราก็คือ ยอดการส่งมอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ในประเทศไทยที่พุ่งสูงขึ้นถึง 122% ในปีที่ผ่านมา

ในอนาคตจะมีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อต่อยอดความสำเร็จหลังจากการเปิดตัวของบีเอ็มดับเบิลยู 530e บีเอ็มดับเบิลยู 740Le บีเอ็มดับเบิลยู i8 Coupe และบีเอ็มดับเบิลยู i8 Roadster ด้วยความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่จะเดินหน้าไปสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน เรายังคงขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่างต่อเนื่อง สานต่อจากการริเริ่มโครงการ ChargeNowเมื่อปี 2560 โดยปัจจุบันมีสถานีให้บริการทั้งหมด 121 หัวจ่าย ใน57 แห่งทั่วประเทศไทย

“นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังขยายพันธกิจความยั่งยืนสู่อนาคตของยานยนตพลังงานไฟฟ้า ด้วยการประกาศเริ่มต้นการประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงในประเทศไทย ทั้งการประกอบโมดูลแบตเตอรี่และการประกอบตัวแบตเตอรี่ ซึ่งจะเริ่มต้นสายการประกอบในปี 2562 นี้ โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง และแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป วางแผนที่จะลงทุนร่วมกันกว่า 400 ล้านบาท เพื่อสร้างหลักชัยใหม่แห่งนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และในภูมิภาคนี้

ทั้งนี้ โรงงานประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงแห่งใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป ผู้นำด้าน
การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 จะเริ่มต้น
สายการประกอบอย่างเต็มกำลังภายในปีนี้ โดยแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ประกอบสมบูรณ์แล้ว จะถูกส่งไปยังโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูที่ระยอง เพื่อติดตั้งในรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 และบีเอ็มดับเบิลยู
ซีรี่ส์ 7 เริ่มต้นเฟสแรก ภายในปี 2019 นี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการลงทุนเพิ่มเติมด้วยมูลค่ากว่า 700 ล้านบาท สำหรับการประกอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในอนาคต

ดร. แอนเดรียส อัลมานน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าและ บีเอ็มดับเบิลยู i บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ บีเอ็มดับเบิลยู i ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในการสร้างสรรค์ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิดของความยั่งยืน โดยความนิยมในยานยนต์ไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก และยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต

ในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลกมากกว่า 140,000 คัน ในปี 2561 โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มียอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 142,617 คัน นับเป็นอัตราการเติบโตถึง 38.4%

“การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าคือหนึ่งในเสาหลักของกลยุทธ์NUMBER ONE > NEXT ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สู่ยานยนต์แห่งโลกอนาคต ACES (Autonomous ระบบขับขี่อัตโนมัติ, Connectedระบบเชื่อมต่อครบวงจร, Electrified ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และ Services/Shared การให้บริการ)หลังจากการเปิดตัวของบีเอ็มดับเบิลยู i3 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เป็นผู้ริเริ่มและก้าวสู่ความเป็นผู้นำในนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยภายในปี พ.ศ. 2564 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะมีรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 5 รุ่น คือ บีเอ็มดับเบิลยู i3 มินิ อิเล็คทริค บีเอ็มดับเบิลยู iX3 บีเอ็มดับเบิลยู i4 และบีเอ็มดับเบิลยู iNEXT

ภายในปี พ.ศ. 2568 บีเอ็มดับเบิลยู i จะมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารวมทั้งหมด 25 รุ่น ประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ถึง 12 รุ่น ขณะที่แบรนด์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้ความดูแลของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จต่อไป

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป การสร้างสายการประกอบรถยนต์จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ระบบไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ ระบบปลั๊กอินไฮบริด และเครื่องยนต์สันดาป จะใช้สายการประกอบร่วมกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและฉับไว ภายในสิ้นปี 2562 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปคาดว่าจะต้องมีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 5 แสนคันบนท้องถนนทั่วโลก

ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะสามารถกำหนดได้อย่างรวดเร็วว่า รถยนต์รุ่นใดที่จะประกอบด้วยเครื่องยนต์ไฟฟ้าล้วน ขับเคลื่อนด้วยปลั๊กอินไฮบริด หรือเลือกใช้เครื่องยนต์สันดาปที่มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานที่เหนือกว่า ความคล่องตัวนี้จะช่วยให้เราประกอบรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้ตรงตามความต้องการของตลาดยิ่งขึ้น และยังสร้างบรรทัดฐานของการนำไปสู่อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดที่กว้างยิ่งขึ้นอีกด้วย

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับทั้งภาครัฐและพันธมิตรภาคเอกชน ในการสนับสนุน พัฒนาระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยนตรกรรมไฟฟ้า และการติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยในปีพ.ศ. 2559 บริษัทได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อดำเนินโครงการนำร่องElectric Vehicle Charging and Car Sharing Zones” หรือ Charge & Share โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้นำรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู i3 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าโดยสมบูรณ์และปราศจากการปล่อยไอเสีย พร้อมด้วยรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด บีเอ็มดับเบิลยู 330e และบีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e ให้ทางมหาวิทยาลัยทดลองใช้ในโครงการดังกล่าว

ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และประธานคลัสเตอร์วิจัยยานยนต์ มจธ. กล่าวว่า Charge & Share เป็นโครงการที่ริเริ่มขึ้นโดยกลุ่มคลัสเตอร์วิจัยยานยนต์ของ มจธ. ด้วยเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในรั้ว มจธ. ให้เป็นรูปธรรม และเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาเป็น Car Sharing เพื่อศึกษาพฤติกรรมของคนไทยในการใช้งานระบบดังกล่าวด้วย ความร่วมมือกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะนำประเทศไทยนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน

สำหรับโครงการ Charge & Share นั้น มจธ. ได้เปิดสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขึ้น โดยมีรถยนต์ให้บริการในรูปแบบ Car Sharing ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรถยนต์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู i3 ซึ่งบุคลากรของมหาวิทยาลัยนำไปใช้ในงานราชการ พร้อมเก็บข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อศึกษาลักษณะการใช้งาน รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ควบคู่กับการศึกษาพฤติกรรมของคนไทยในการใช้บริการระบบ Car Sharing และ EV Car Sharing เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และระบบ Car Sharing ได้รับความร่วมมือจากบริษัท ฮ้อปคาร์ จำกัด ผู้ให้บริการ Car Sharing แห่งแรกในประเทศไทย ในการช่วยบริหารจัดการระบบการจองและคืนรถ รวมไปถึงให้บริการผู้ใช้อีกด้วย

เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน และตอบรับแผน
ระยะยาวของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ที่ได้ตั้งเป้ายอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทยไว้ 1.2 ล้านคัน ภายในปี 2579 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรในโครงการ ChargeNow จึงได้เดินหน้าขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะในโครงการ ChargeNow อย่างต่อเนื่องลังจากที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ซึ่งในปัจจุบันมีสถานีพร้อมให้บริการทั้งหมดมากกว่า 121 หัวจ่ายกระจายอยู่ 57 แห่งทั่วประเทศไทย รวมถึงภายในศูนย์บริการของ
ผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการ และมีเป้าหมายที่จะติดตั้งให้ครบทั้งหมด 150 หัวจ่าย ภายในสิ้นปี 2563 และเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าทุกคน โครงการ ChargeNow พร้อมให้บริการได้ในทุกเครือข่ายฯ ในมาตรฐานที่ใกล้เคียงกันละมีระบบการให้บริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *